No. | 1. การเขียนทับศัพท์ภาษาไทยแบบปรับรูป/หรือภาษาไทยใช้ | 2. การเขียนทับศัพท์ภาษาไทยแบบคงรูป | 3. ภาษาฮินดี | 4. อักษรโรมัน | 5. ความหมายในภาษาไทย |
---|---|---|---|---|---|
13 | อนาสักติ | อนาสกฺติ | अनासक्ति ![]() | anāsakti | อนาสักติ หมายถึง การละวาง ไม่ผูกพันยึดมั่น พาพาใช้คำว่า อนาสักติ คู่กับ อาสักติ ที่หมายถึง ความผูกพันยึดมั่น การพึ่งพิง |
14 | อนุชนก | อนุชนก | अनुजनक ![]() | AnuJanak | พาพาได้ลงมายังโลกมนุษย์ในสังคมยุค เพื่อทำให้อาตมากลับมาปุรุโษตตมะ นั่นคือ เป็นผู้ที่สูงสุดของทั้งกัลป์ ดังนั้น อาตมาของสังคมยุคจึงมีความยิ่งใหญ่และสภาพสูงกว่าอาตมาของสัตยุค พาพากล่าวว่า ชนกของสังคมยุคก็จะกลายเป็นอนุชนกในสัตยุค หมายถึง ความยิ่งใหญ่และสภาพที่น้อยกว่า หรือ รองลงมาจากสังคมยุค อนุ แปลว่า เล็ก น้อย ตามมา ภายหลัง ตามคัมภีร์แล้ว ชนก คือ ราชา และ เป็นบิดาของสีดา ผู้ใช้ชีวิตอย่างเป็นกรรมโยคี ที่ละวาง ด้วยอาตมอภิมานะ และได้รับชีวันมุกติในหนึ่งวินาที |
16 | อันตรยามี (อ่านว่า อัน-ตะ-ระ-ยา-มี) | อนฺตรฺยามี | अन्तर्यामी ![]() | Antaryāmī | อันตรยามี เป็นสมญาของบรมบิดา บรมาตมา หมายถึง ผู้ที่ล่วงรู้ทุกสิ่งข้างในตนเองทั้งหมด นั้่นคือ ผู้ที่รู้ญาณทั้งหมด แต่ในหนทางภักดี เข้าใจว่าท่านเป็นผู้ล่วงรู้ความลับภายในของทุกคน พาพา ใช้เปรียบเทียบกับคำว่าพาเหียรยามี ที่มีความหมายตรงกันข้ามกับอันตรยามีในแง่ของ พาพา คือ อันตรยามี ผู้ที่ล่วงรู้ทุกสิ่งข้างในตนเองทั้งหมด นั่นหมายถึง ผู้ที่รู้ญาณทั้งหมด รวมถึงสิ่งที่ลูกทำอย่างซ่อนเร้นไว้ และ พรหมา คือ พาเหียรยามี ผู้ที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในยัญ อันตรยามี มาจากรากฐานคำว่า อันตร แปลว่า ภายใน และ พาเหียรยามี มาจากรากฐานคำว่า พาหระ หรือ พาหิระ แปลว่า ภายนอก |
17 | อปมาน | อปมาน | अपमान ![]() | apamān | อปมาน หมายถึง การดูหมิ่น การดูถูก อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน จากความรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย พาพา ใช้คำ อปมาน พ้องกับคำ อภิมานะ นั่นหมายถึง ลูกรู้สึกว่าตนเอง ถูกดูหมิ่น ดูถูก เมื่อลูกมีความหลงทะนงตน จากความรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย |
19 | อภิมานะ | อภิมาน | अभिमान ![]() | abhimān | อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน จากความรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย อปมาน หมายถึง การดูหมิ่น การดูถูก พาพา ใช้คำ อปมาน พ้องกับคำ อภิมานะ นั่นหมายถึง ลูกรู้สึกว่าตนเอง ถูกดูหมิ่น ดูถูก เมื่อลูกมีความหลงทะนงตน จากความรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย |
26 | อเลากิก | อเลากิก | अलौकिक ![]() | alaukik | สภาพและสิ่งที่เกี่ยวกับอาตมาในทางละเอียดอ่อน ไม่ใช่ทางโลก หรือร่างกายภายนอก |
29 | อวยักตะ (อ่านว่า อะ-วะ-ยัก-ตะ) | อวฺยกฺต | अव्यक्त ![]() | avyakt | อวยักตะ คือ อาการ (ร่างแสงที่ละเอียดอ่อน) หรือ ผริศตา ที่ไม่ใช่วยักตะ หรือ สาการ ผริศตาหรือปรี หมายถึงสภาพแสงและเบาสบายที่อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดทางร่างกาย ไม่มีพันธนะของร่างกายและความสัมพันธ์ทางร่างกาย |
31 | อวยภิจารี (อ่านว่า อะ-วฺยะ-พิ-จา-รี) | อวฺยภิจารี | अव्यभिचारी ![]() | ![]() avyabhicārī | วยภิจารี หมายถึง การนอกใจ เป็นชู้ การมีหลายสิ่ง หลายอย่าง และ อวยภิจารี หมายถึง มีเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นใด ซึ่งตรงข้ามกับวยภิจารี ศิวพาพากล่าวว่า เมื่อลูกเริ่มทำอวยภิจารี ภักดี ในทวาปรยุค (ยุคทองแดง) ลูกได้ทำให้กับศิวะเพียงผู้เดียว ด้วยความรักและศรัทธาและใช้ทรัพย์สมบัติที่ พาพาทำให้ลูกมั่งคั่งจากสังคมยุค เพราะว่าลูกมีญาณ การจดจำระลึกถึง เสวา ธารณา และทุกสิ่งเป็นอวยภิจารีกับพาพาเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมาลูกก็ทำภักดีให้กับสิ่งอื่นนอกเหนือจากศิวะ เช่น ลักษมี นารายณ์ เหล่าเทพ จนกระทั่ง ทำให้กับมนุษย์และวัตถุธาตุ นั่นเรียกว่า วยภิจารี ภักดี ลูกจึงกลับมามีธรรมและกรรมที่ภรัษฏะ หมายถึง ไม่บริสุทธิ์ คดโกง ทุจริต และยากจนข้นแค้น ทั้งนี้ เมื่อทวาปรยุคได้ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง พรหมาได้เป็นราชา ซึ่งมีนามว่า วิกรมาทิตย์ ผู้เริ่มทำภักดีสร้างวัดโสมนาถ ด้วยการใช้เพชรโคอินัวร์ (โคอินูร์) เจียระไนเป็นศิวลึงค์ไว้ในวัด เป็นอนุสรณ์ให้กับศิวพาพา |
32 | อสรีรี | อสรีรี | अशरीरी ![]() | aśrīrī | อาตมาขณะที่อยู่ในร่าง แต่ละวางจากร่าง ไม่ได้ใช้ร่างทำกิจกรรม เช่น ขณะที่นั่งสมาธิหรือการนอนหลับ สรีระ หมายถึง ร่างกาย |
38 | อาการ | อาการ | आकार ![]() | ākār | ในราชโยคะ อาการ หมายถึง สภาพอวยักตะ เป็นแสงที่ละเอียดอ่อน ที่อยู่เหนือร่างกาย วัตถุภายนอก นั่นคือ ผริศตา ในทางโลก อาการ หมายถึง รูปร่าง ร่างกาย วัตถุภายนอกที่เห็นและจับต้องได้ ผริศตาหรือปรี หมายถึงสภาพแสงและเบาสบายที่อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดทางร่างกาย ไม่มีพันธนะของร่างกายและความสัมพันธ์ทางร่างกาย |
39 | อาตมอภิมานะ (อ่านว่า อาด-ตะ-มะ-อะ-พิ-มา-นะ) | อาตฺม อภิมาน | आत्म अभिमान ![]() | ātma abhimān | อาตมอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนที่บริสุทธิ์จากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นอาตมาแทนการเป็นร่างกาย อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนจากความรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย |
40 | อาตมิกภาวะ | อาตฺมิก ภาว | आत्मिक भाव ![]() | ātmik bhāv | ความรู้สึก นึกคิด การเข้าใจบนพื้นฐานของญาณ ว่าตนเองและผู้อื่นเป็นอาตมา อาตมิก มาจากคำว่า อาตมา ภาวะ หมายถึง ความรู้สึก นึกคิดเป้าประสงค์ เจตนา เป็นต้น |
47 | อาสักติ | อาสกฺติ | आसक्ति ![]() | āsakti | อาสักติ หมายถึง ความผูกพันยึดมั่น การพึ่งพิง พาพาใช้คำว่า อาสักติ คู่กับ อนาสักติ ที่หมายถึง การละวาง ไม่ผูกพันยึดมั่น |
50 | เอกนามี | เอกนามี | एकनामी ![]() | Ekanāmī | จดจำนามของผู้เดียว หมายถึง จดจำศิวพาพาเพียงผู้เดียว เอกนามี มาจากคำว่า เอก หมายถึง หนึ่งเดียว นามี หมายถึง นามของ |
51 | เอกาครตา | เอกาคฺรตา | एकाग्रता ![]() | ![]() exāgratā | เอกาครตา มาจากคำว่า เอก หมายถึง หนึ่งเดียว สิ่งเดียว กับ อครตะ หมายถึง ข้างหน้า ในราชโยคะ เอกาครตา คือ การมีพาพาเพียงผู้เดียว หรือ เป้าหมายที่พาพาต้องการให้ลูกเป็นเท่านั้นอยู่ข้างหน้า |
52 | เอกานตะ/เอกานต์ | เอกานฺต | एकान्त ![]() | ![]() ekānt | เอกานต์ มาจากคำว่า เอก หมายถึง หนึ่งเดียว สิ่งเดียว กับ อันต์ หมายถึง สุดท้าย จุดจบ เป้าหมาย ในราชโยคะ เอกานต์ คือ การเข้าไปสู่ความลึกล้ำและหลอมรวมกับพาพาเพียงผู้เดียวที่เป็นเป้าหมาย ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนก็ตาม นั่นคือสภาพสันโดษของอาตมา |
58 | กรันหาระ (อ่านว่า กะ-รัน-หา-ระ) | กรนหาร | करनहार ![]() | karanahār | ผู้กระทำงานใดๆ ด้วยการเข้าใจว่าตนเอง เป็นเครื่องมือของพาพา กร แปลว่า ผู้ทำ ผู้ก่อ |
60 | กราวันหาระ (อ่านว่า กะ-รา-วัน-หา-ระ) | กราวนหาร | करावनहार ![]() | karāvanahār | ผู้ที่ทำให้เกิดการกระทำงานใดๆ ด้วยผู้อื่น กร แปลว่า ผู้ทำ ผู้ก่อ และ กรา แปลว่า ผู้ที่ทำให้เกิดการกระทำงานใดๆ ด้วยผู้อื่น |
64 | กรรมโยคี | กรฺมโยคี | कर्मयोगी ![]() | karmayogī | ผู้ทำกรรมโยคะ หมายถึง การกระทำขณะอยู่ในโยคะ นั่นคือ จดจำระลึกถึง บรมบิดา บรมาตมา |
65 | กรรมาตีต/กรรมาดีต | กรฺมาตีต | कर्मातीत ![]() | ![]() karmātīt | กรรมาดีต มาจากคำว่า กรรมหมายถึงการกระทำ กับอดีตหมายถึงการอยู่เหนือ การข้ามผ่าน กรรมาดีต หมายถึง การอยู่เหนือผลของกรรมที่ทำ ไม่ใช่การอยู่เหนือกรรมที่ไม่ต้องทำกรรม แต่เป็นการอยู่เหนือพันธนะของกรรมที่ทำ และไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลขณะที่ทำกรรมด้วยอวัยวะทางร่าง เพราะอาตมา คือ นายของร่างกาย ด้วยความเข้าใจและคิดว่าพาพา ผู้ที่ทำทุกสิ่งด้วยลูก นั่นคือ ใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการทำ ลูกจึงไม่ถูกดึงดูดไปสู่การกระทำนั้น แต่อยู่อย่างละวางและมีความรัก |
101 | คุณ | คุณ | गुण ![]() | ![]() guṇ | คุณ มีสองความหมาย 1) คุณสมบัติที่ดี กุศล ประเสริฐ ได้แก่ ทิพยคุณ 2) อาถรรพ์ คือ พิธีทําร้ายต่ออมิตร เรียกกันว่า กระทําคุณ และผู้ถูกกระทำ เรียกว่า ถูกคุณ คุณไสย นั่นหมายถึง สิ่งที่ไม่ดีงาม ได้แก่ อสุรีคุณ ที่เป็นคุณสมบัติของอสูร บนพื้นฐานของกิเลส ทิพยคุณ หมายถึง คุณสมบัติที่ดีงามของเทวีและเทวดา |
136 | ชานันหาระ | ชานนหาร | जाननहार ![]() | Jānanahār | ชานันหาระ หมายถึง ผู้ล่วงรู้ทุกสิ่ง |
149 | ตปัสยา | ตปสฺยา | तपस्या ![]() | tapasyā | ตปัสยา หมายถึง การทำตบะ ฝึกฝนเพ่งเพียรของอาตมาด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง เพื่อขจัดกิเลสและเผาบาปออกไป คำว่า ตปัสยา มีรากศัพท์มาจากคำว่า ตป นั่นคือ ตบะ |
151 | ตโมคุณี | ตโมคุณี | तमोगुणी ![]() | tamoguṇī | ผู้ที่มีคุณสมบัติตโม หมายถึง สภาพของอาตมาที่อยู่ในความมืด ความเศร้าหมอง ความเขลา นั่นคือ ความตกต่ำ และไม่บริสุทธิ์ ตโมคุณี มาจากคำว่า ตโม หมายถึง ความมืด ความเศร้าหมอง ความเขลา กับคำว่า คุณี หมายถึง ผู้ที่มีคุณสมบัติ |
152 | ตโมประธาน | ตโมปฺรธาน | तमोप्रधान ![]() | tamopradhān | ตโมประธาน คือ สภาพของอาตมาที่อยู่ในความมืด ความเศร้าหมอง ความเขลา นั่นคือ ความตกต่ำ และ ไม่บริสุทธิ์ เป็นหลักเหนือสภาพ รโช และ สโต ตโม แปลว่า ความมืด ความเศร้าหมอง ความเขลา และ ประธาน แปลว่า เป็นหลักหรือใหญ่ในหมู่หรือกลุ่ม |
153 | ดิลก | ติลก | तिलक ![]() | ![]() tilak | ในฮินดูธรรม ดิลกเป็นรอยแต้มหรือเจิมทำพิธิที่หน้าผากเพื่อเป็นมงคล พาพาบอกลูกว่า แต้มดิลกให้กับตนเอง นั่นคือ การรู้ว่าตนเองเป็นอาตมา และกลับมามีอำนาจในการปกครองตนเอง ดังนั้นดิลกจึงเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะ |
162 | ทยา | ทยา | दया ![]() | Dayā | ความเมตา ความกรุณา ความสง่างาม |
163 | ทรรศนะ/ทัศนะ | ทรฺศน | दर्शन ![]() | ![]() darśan | ทรรศนะ/ทัศนะ เป็นคำสันสกฤต หมายถึง การเห็น การมองเห็นในทางธรรม นั่นคือ การเห็นรูปเคารพหรือภาพของเทวี เทวดา เหล่าเทพ หรือผู้ที่อยูในหนทางธรรมที่บริสุทธิ์ และยึดเก็บสิ่งนั้นไว้ในจิตใจ |
170 | ทิพยทฤษฎี | ทิวฺยทฺฤษฺฏิ | दिव्यदृष्टि ![]() | ![]() divyadṛṣṭi | ทิพยทฤษฎี คือ การเห็นสากษาตการ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นอาการหรือสภาพอวยักตะที่ละเอียดอ่อนอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่วัตถุที่จับต้องได้ โดยศิวพาพามีกุญแจที่ให้ทิพยทฤษฎีแก่ลูกและภักตะที่เต็มไปด้วยภาวนาอย่างแรงกล้า ทั้งนี้ ลูกของพาพาก็สามารถได้รับทิพยทฤษฎีด้วยดวงตาที่สาม นั่นคือ ทิพยจักษุจากพุทธิที่มีญาณเป็นพื้นฐาน ทฤษฎี หมายถึง การเห็น การมองเห็น ทิพย์ หมายถึง สิ่งที่ได้รับจากศิวพาพาเป็นอาการ หรือ สภาพอวยักตะทีละเอียดอ่อน สากษาตการ มาจากคำว่า สากษาต หมายถึง ปรากฏอยู่ข้างหน้า กับ อาการ หมายถึง สภาพอวยักตะที่ละเอียดอ่อน |
177 | ทุรคา | ทุรฺคา | दुर्गा ![]() | ![]() Durgā | ทุรคา เทวีแห่งศักดิ์และความแข็งแกร่ง และเป็นที่รู้จักกันในนามว่า เทวีนักรบ ทุรคาได้รับการเรียกว่า แม่ที่เต็มพร้อมไปด้วยทิพยคุณ และให้การหล่อเลี้ยงทำให้ทุกอาตมาสมปรารถนาในทุกสิ่ง และให้การปกป้องมวลมนุษย์จากความชั่วร้ายและความทุกข์ยาก ด้วยการทำลายกำลังชั่วร้ายและให้โทษเช่น ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา ความอคติ ความเกลียดชัง ความโกรธ ความหลงทะนงตน เป็นต้น ทิพยคุณ หมายถึง คุณสมบัติที่ดีงามของเทวีและเทวดา |
180 | ทฤษฎี | ทฺฤษฺฏิ | दृष्टि ![]() | ![]() dṛṣṭi | ทฤษฎี หมายถึง การเห็น การมองเห็น นั่นคือ การแลกเปลี่ยนคลื่นกระแสผ่านดวงตา |
183 | เทหอภิมานะ (อ่านว่า เท-หะ-อะ-พิ-มา-นะ) | เทห อภิมาน | देह अभिमान ![]() | ![]() deh abhimān | เทหอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนจากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย โดยมาจากคำว่า เทห์ หมายถึง ร่างกาย และ อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน พาพาให้ลูกกลับมาอยู่อย่างอาตมอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนที่บริสุทธิ์จากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นอาตมาแทนการเป็นร่างกาย ซึ่งตรงกันข้ามกับเทหอภิมานะ |
184 | เทฮีอภิมานะ | เทฮี อภิมาน | देही अभिमान ![]() | ![]() dehī abhimān | เทฮีอภิมานะ หมายถึง ความเข้าใจและยึดถือว่าตนเองเป็นอาตมาขณะที่อยู่ในร่างกาย เทฮี หมายถึง อาตมาขณะที่อยู่ในเทห์ (ร่างกาย) |
191 | ธารณา | ธารณา | धारणा ![]() | dhāraṇā | ธารณา เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า การทรงไว้ การยึดไว้ในจิตใจ นั่นคือ การยึดมั่นคำสอนของพาพาไว้ เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต หรือนำไปฝึกฝนจนเป็นรูปในทางปฏิบัติ และกลายเป็นธรรมของตนเอง ธารณา เป็นหนึ่งในสี่วิชาของราชโยคะ ที่แสดงด้วยเครื่องประดับ กมล หรือ ปัทม์ ในหัตถ์ซ้ายล่างของวิษณุในหนทางภักดี หมายถึง การใช้ชีวิตอยู่ในโลกอย่างบริสุทธิ์ ด้วยความรักและละวาง แม้ขณะอยู่ในโลกที่ตกต่ำและไม่บริสุทธิ์นี้ วิษณุ ได้รับการเรียกว่า จตุรภุช หมายถึง ผู้ที่มีสี่แขน นั่นหมายถึง รูปรวมของลักษมีและนารายณ์ ที่แสดงถึงหนทางครอบครัวที่บริสุทธิ์ และเป็นสัญลักษณ์ของสี่วิชาของราชโยคะ จตุรภุช มาจากคำว่า จตุร หมายถึง สี่ และ ภุช หมายถึง แขน กมล หรือ ปัทม์ หมายถึง ดอกบัว |
194 | ฌาน (บาลี)/ธยานะ/ธยาน (สันสกฤต, ฮินดี) | ธฺยาน | ध्यान ![]() | dhyān | ในความหมายของพาพา คือ การตั้งใจ ใส่ใจ และ การเข้าฌาน แต่ในทางโลก หมายถึง การเพ่งรวม การจดจ่อ การทำสมาธิ |
197 | นิราการ | นิราการ | निराकार ![]() | ![]() Nirākār | นิราการ หมายถึง ปราศจากร่าง ไม่มีทั้งสาการ (ร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุ) และอาการ (ร่างแสงที่ละเอียดอ่อน) นั่นคือ อาตมาอยู่ในรูปดั้งเดิมที่บรมธามะ นิราการ มาจากคำว่า นิร แปลว่า ไม่มี รวมกับคำว่า สาการ และ อาการ |
200 | นิรมาณ | นิรฺมาณ | निर्माण ![]() | nirmāṇ | นิรมาณ หมายถึง การสร้าง งานสร้าง ผลิตผล พาพา ใช้คำ นิรมาน พ้องกับคำ นิรมาณ หมายถึง พาพาให้ลูกอยู่อย่าง ถ่อมตนในงานเสวาของพาพา เพื่อการสร้างโลกใหม่ นิรมาน หมายถึง ความถ่อมตน ปราศจากการถือรั้น ไม่มีความดื้อดึง ไม่ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง มาจากคำว่า นิร แปลว่า ไม่มี และ มานะ แปลว่า เคารพ ชื่อเสียง ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ เย่อหยิ่งจองหอง พาพากล่าวว่า ลูกจะได้รับความเคารพเมื่ออยู่อย่างนิรมาน นั่นคือ ไม่มีความปรารถนาที่จะได้รับเคารพ ชื่อเสียง เกียรติ ใดๆ ไม่ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ เย่อหยิ่งจองหอง |
201 | นิรมาน | นิรฺมาน | निर्मान ![]() | nirmān | นิรมาน หมายถึง ความถ่อมตน ปราศจากการถือรั้น ไม่มีความดื้อดึง ไม่ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ ไม่เย่อหยิ่งจองหอง มาจากคำว่า นิร แปลว่า ไม่มี และ มานะ แปลว่า เคารพ ชื่อเสียง ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ เย่อหยิ่งจองหอง พาพากล่าวว่า ลูก จะได้รับความเคารพ เมื่ออยู่อย่างนิรมาน นั่นคือ ไม่มีความปรารถนาที่จะได้รับเคารพ ชื่อเสียง เกียรติ ใดๆ ไม่ถือตัวว่ายิ่งใหญ่ เย่อหยิ่งจองหอง พาพาใช้คำ นิรมาน พ้องกับคำ นิรมาณ นั่นหมายถึง พาพาให้ลูกอยู่อย่างถ่อมตนในงานเสวาของพาพา เพื่อการสร้างโลกใหม่ นิรมาณ หมายถึง การสร้าง งานสร้าง ผลิตผล |
202 | นฤพาน (สันสกฤต)/นิพพาน (บาลี) | นิรฺวาณ (สันสกฤต)/นิพฺพาน (บาลี) | निर्वाण ![]() | ![]() nirvāṇ | นิรฺวาณ เป็นคำภาษาสันสกฤต หมายถึง การอยู่เหนือเสียง มาจากคำว่า นิร แปลว่า ไม่มี หมดไป และ วาณี แปลว่า เสียง การ พูด นั่นหมายถึง สภาพของบรมธามะ บ้านของอาตมา ในภาษาไทยมีการเขียนคำนิรฺวาณว่า นฤพาน หรือ นิพพาน ที่หมายถึงการหลุดพ้นตลอดไป โดยไม่ต้องกลับมาเล่นบทบาทในวงจรละครโลก พาพากล่าวว่า ทุกอาตมามีบทบาทที่บันทึกอยู่ในอาตมา และต้องลงมาเล่นบทบาทตามเวลาของตนเองในวงจรละครโลกนี้ |
203 | นิพฤติมรรค (อ่านว่า นิ-พฺรึด/นิ-พฺรึด-ติ-มัก) | นิวฺฤตฺติ มารฺค | निवृत्ति मार्ग ![]() | nivṛtti mārg | นิพฤติมรรค หมายถึง หนทางที่ไม่มีการประพฤติร่วมกับผู้อื่น ในราชโยคะ นิพฤติมรรค หมายถึง สันนยาสี ผู้อยู่ในหนทางการใช้ชีวิตสันโดษ ที่แยกตนเองออกไปอยู่โดยลำพังและสละละทิ้งทางโลก ซึ่งตรงข้ามกับที่พาพาให้ลูกอยู่ในประพฤติมรรค นั่นคือ หนทางการใช้ชีวิตในครอบครัวที่ต้องประพฤติในความสัมพันธ์ต่างๆ กับคนในครอบครัว แต่อยู่อย่างบริสุทธิ์และละวางเช่นดอกบัว นิพฤติ หมายถึง สันโดษ การเกษียณอายุ ประพฤติ หมายถึง ปฏิบัติ วางตน กระทำ ดำเนินตน และ มรรค หมายถึง หนทาง สันนยาส แปลว่า การสละละทิ้ง และ สันนยาสี คือ ผู้สละละทิ้ง ได้แก่ ฤษี นักบวช นักบุญ |
204 | เนษฐา | เนษฺฐา | नेष्ठा ![]() | neṣṭhā | ในราชโยคะ เนษฐา คือ การทำสมาธิที่มีผู้นำอยู่ข้างหน้าให้ทฤษฎีและกระแสศักดิ์ ทำให้เชื่อมโยงและจดจำอยู่กับบรมบิดา บรมาตมา ผู้เดียว |
207 | ปัทมาปัทม์ | ปทมาปทม | पदमापदम ![]() | Padmāpadm | ปัทม์ เป็นมาตรานับในอินเดียโบราณ โดย 1 ปัทม์เท่ากับ 10 โกฎิโกฎิ (1 โกฎิเท่ากับ 10 ล้าน) หรือในทางสากลเรียกว่า พันล้านล้าน (1,000,000,000,000,000 หมายถึงเลข 1 ซึ่งเติม 0 อีก 15 ตัว) ศิวพาพากล่าวว่า ทุกย่างก้าวของลูกในสังคมยุคนั้น มีค่าเป็นปัทม์ของปัทม นั่นคือ ปัทมาปัทม์ หมายถึง มากมายจนไม่สามารถนับได้ ปัทม์ ยังหมายถึง บัวหลวง ซึ่งเปรียบกับการใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ขณะที่อยู่อย่างมีความรักและละวาง โดยส่วนใหญ่แล้ว พาพาใช้คำว่า กมล หมายถึง ดอกบัว |
208 | ปัทม์ | ปทฺม | पद्म ![]() | ![]() padm | ปัทม์ เป็นมาตรานับในอินเดียโบราณ โดย 1 ปัทม์เท่ากับ 10 โกฎิโกฎิ (1 โกฎิเท่ากับ 10 ล้าน) หรือในทางสากลเรียกว่า พันล้านล้าน (1,000,000,000,000,000 หมายถึงเลข 1 ซึ่งเติม 0 อีก 15 ตัว) ศิวพาพากล่าวว่า ทุกย่างก้าวของลูกในสังคมยุคนั้น มีค่าเป็นปัทม์ นั่นคือมากมายจนไม่สามารถนับได้ ปัทม์ ยังหมายถึง บัวหลวง ซึ่งเปรียบกับการใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ขณะที่อยู่อย่างมีความรักและละวาง โดยส่วนใหญ่แล้ว พาพาใช้คำว่า กมล หมายถึง ดอกบัว |
209 | ปรจินตนะ | ปรจินฺตน | परचिंतन ![]() | paracintan | การคิดเกี่ยวกับผู้อื่น ปรจินตนะ มาจากคำว่า ปร แปลว่า อื่น กับ จินตนะ แปลว่า ความคิด เกี่ยวกับความคิด ปร อ่านว่า ปะระ/ปอระ |
210 | ปรมตะ/ปรมัต | ปรมต | परमत ![]() | paramat | การทำตามความคิด การกำหนด และหนทางของผู้อื่น ปรมัต มาจากคำว่า ปร หมายถึง อื่น กับ มัต มาจากรากศัพท์คำว่า มติ หมายถึง ความคิด การกำหนด หนทาง |
233 | ประสาท | ปฺรสาท | प्रसाद ![]() | ![]() prasād | ในหนทางภักดี ประสาท หรือ ประภูประสาท โดยส่วนใหญ่จะหมายถึงอาหาร ที่ถวายให้กับประภู แล้วเชื่อกันว่าอาหารนั้นเต็มไปด้วยกระแสศักดิ์จากประภู เหมือนเป็นของทิพย์ แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งที่เราจดจำเสมอว่าเป็นของที่เราได้รับจากประภู นั่นคือ ประสาท ประภู เป็นอีกนามหนึ่งของบรมบิดา บรมาตมา ประสาท หมายถึง โปรดให้ ยินดีให้ |
247 | พาหรยามี/พาเหียรยามี | พาหรยามี | बाहरयामी ![]() | bāharayāmī | พาเหียรยามี หมายถึง ผู้ที่รู้หรือสนใจสิ่งภายนอก นอกตนเอง พาเหียรยามี มาจากรากฐานคำว่า พาหระ หรือ พาหิระ แปลว่า ภายนอก พาพาบอกว่า ลูกไม่ควรเป็นพาเหียรยามี และใช้เปรียบเทียบกับคำว่าพาเหียรยามี ที่มีความหมายตรงกันข้ามกับอันตรยามีในแง่ของ พาพา คือ อันตรยามี ผู้ที่ล่วงรู้ทุกสิ่งข้างในตนเองทั้งหมด นั่นคือ ผู้ที่รู้ญาณทั้งหมด รวมถึงสิ่งที่ลูกทำอย่างซ่อนเร้นไว้ และ พรหมา คือ พาเหียรยามี ผู้ที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในยัญ แต่ในหนทางภักดีเข้าใจว่า พาพาเป็นผู้ล่วงรู้ความลับภายในของทุกคน อันตร แปลว่า ภายใน |
272 | ภัฏฐี | ภฏฺฐี | भट्ठी ![]() | bhaṭṭhī | ภัฏฐี คือ เตาเผาที่ร้อนแรง ที่สามารถแยกโลหะหรือสิ่งเจือปนออกจากทองคำ นั่นคือ ทำให้บางสิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากของเดิมเมื่อใส่ลงไปในภัฏฐี พาพากล่าวว่า เมื่อลูกนั่งอยู่ในภัฏฐีที่เปรียบกับอัคนีของโยคะ ลูกก็สามารถขจัดบาปในอาตมาออกไป เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับมาบริสุทธิ์ และมีสภาพที่ขึ้นสูงได้ |
285 | โภคี | โภคี | भोगी ![]() | bhogī | โภคี หมายถึง ผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับความสุขจากประสาทสัมผัสทางร่าง เป็นคำที่ตรงข้ามกับโยคี โยคี หมายถึง ผู้มีโยคะกับบรมบิดา บรมาตมา และมีความสุขเหนือประสาทสัมผัส |
288 | มนตร์ (สันสกฤต)/มนต์ (บาลี) | มนฺตฺระ | मंत्र ![]() | mantra | ในหนทางภักดี มนตร์ คือ คําศักดิ์สิทธิ์ สําหรับท่องสวดเพื่อเป็นสิริมงคล และทำให้จิตใจจดจ่ออยู่กับคำนั้นๆ พาพา ได้ให้มนตร์หลักแก่ลูก คือ มนมนาภวะ และ มัธยาชีภวะ ที่จดจำด้วยพุทธิ ไม่ต้องท่องสวดใดๆ |
290 | มัธยาชีภวะ (อ่านว่า มัด-ทะ-ยา-ชี-พะ-วะ) | มธฺยาชี ภว | मध्याजी भव ![]() | madhyājī bhav | มัธยาชีภวะ มาจากพื้นฐานคำว่า มัธยะ แปลว่า กลาง ระหว่างกลาง นั่นหมายถึง วิษณุผู้ที่อยู่ตรงกลางของภาพตรีมูรติ พาพาให้ลูกจดจำวิษณุเป็นเป้าหมายที่ลูกต้องเพียรพยายาม เพื่อจะกลายเป็นเช่นนั้นในอนาคต |
292 | มนมตะ/มนมัต | มนมต | मनमत ![]() | manamat | การทำตามความคิด การกำหนดหรือหนทางของจิตใจตนเอง มนมัต มาจากคำว่า มน หมายถึง ใจ จิตใจ กับ มัต มาจากรากศัพท์คำว่า มติ หมายถึง ความคิด การกำหนด หนทาง |
293 | มนรส | มนรส | मनरस ![]() | manaras | พาพากล่าวว่า ในหนทางของญาณ ลูกรับฟังญาณที่เป็นสัตย์ด้วยมนรส นั่นคือ ความไพเราะ ความสุข และความซาบซึ้งจากข้างในอาตมาด้วยความเข้าใจ โดยพาพาเปรียบเทียบมนรสกับสิ่งที่ลูกรับฟังด้วยกันรสจากหนทางภักดี นั่นคือ ฟังรื่นหู เพลิดเพลินเท่านั้น มน หมายถึง ใจ จิตใจ รส หมายถึง ความไพเราะ ความสุข ความเบิกบานใจ และ กาน หมายถึง หู |
295 | มนมนาภวะ (อ่านว่า มน-มะ-นา-พะ-วะ) | มนฺมนาภว | मन्मनाभव ![]() | manmanābhav | มนมนาภวะ หมายถึง การคงจิตใจของลูกไว้กับฉัน (พาพา) ด้วยการหันเหจิตใจของลูกอยู่กับฉัน จดจำฉัน มนมนาภวะ มาจากคำว่า มน หมายถึง จิตใจ มนา หมายถึง กับ (ฉัน) หรือ ใน (ฉัน) และภวะ หมายถึง การคงไว้ |
304 | มานสโรวระ | มานสโรวร | मानसरोवर ![]() | Mānsarovar | มานสโรวระ ทะเลสาบน้ำจืด อยู่บนเขาไกรลาส เทือกเขาหิมาลัย ประเทศจีน ในตำนานได้มีการกล่าวว่า ผู้ที่ดำลงไปในมานสโรวระจะได้รับการชำระล้างบาป ทำให้กลับมาบริสุทธิ์ นั่นคือ กลายเป็นปรี และผู้ที่ดื่มน้ำจากสระนี้ เมื่อตายแล้วจะได้ไปยังศิวาลัย พาพากล่าวว่า แท้จริงแล้ว เมื่อลูกดำลงไปในญาณสโรวระ ทะเลสาบของญาณ แล้วจะกลายเป็นปรี นั่นหมายถึง ญาณของพาพา ไม่ใช่น้ำจากทะเลสาบ นอกจากนี้ในตำนานฮินดู เชื่อกันว่า ทะเลสาบได้ถูกสร้างขึ้นมาในจิตใจของพรหมาเทวดาก่อน แล้วจึงปรากฏเป็นมานสโรวระ บนโลกนี้ มานสโรวระ เป็นคำมาจากภาษาสันสกฤต ประกอบด้วยคำว่า มาน หมายถึง มน แปลว่า ใจ จิตใจ กับ สโรวระ แปลว่า ทะเลสาบ ปรี (ภาษาฮินดี) เหมือนกับผริศตา (ภาษาอูรดู) หมายถึงสภาพแสงและเบาที่บริสุทธิ์ |
305 | มาเมกมฺ | มาเมกมฺ | मामेकम् ![]() | ![]() māmekam | มาเมกมฺ หมายถึง ฉันผู้เดียวเท่านั้น มาเมกมฺ มาจากคำว่า มามฺ คือ ฉัน และ เอกมฺ คือ ผู้เดียว พาพา บอกลูกว่า จดจำ "มาเมกมฺ" หมายถึง จดจำฉันผู้เดียวเท่านั้น |
313 | มฤคตฤษณา/มฤคตัณหา (อ่านว่า มะ-รึก-คะ-ตฺริด-สะ-หฺนา/ มะ-รึก-คะ-ตัน-หา) | มฺฤคตฺฤษณา | मृगतृष्णा ![]() | ![]() mṛgatṛṣṇā | ในราชโยคะ พาพาได้กล่าวยกตัวอย่างทุรโยธน์กับเรื่องราวมฤคตัณหา ที่หมายถึง กวาง ผู้กระหายน้ำ และเข้าใจผิดเห็นภาพลวงตาว่าเป็นแหล่งน้ำอยู่ข้างหน้า ทั้งนี้ ทุรโยธน์ไม่เข้าใจในความจริงแท้ จึงติดกับและถูกหลอกลวงด้วยกิเลส ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อตอบสนองสิ่งที่ตนเองต้องการ ในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้ต่อธรรมและสัตย์ เหมือนกับผู้คนที่เข้าใจว่าโลกทุกวันนี้เป็นสวรรค์ ที่มีทุกอย่างและทำทุกสิ่งภายใต้กิเลสเพื่อให้ตนเองได้รับสิ่งที่ต้องการ โดยไม่รู้ว่าสวรรค์คืออะไร นอกจากนี้ พาพายังกล่าวโยงถึงเรื่องราวใน "มหาภารตะ" ระหว่างนางเทราปทีชายาของเหล่าปาณฑพกับทุรโยธน์ไว้ เนื่องจากเการพและปาณฑพเป็นพี่น้องที่อาศัยอยู่ในพระราชวังเดียวกัน ที่ได้ออกแบบสร้างสระน้ำไว้ในห้องโถงของพระราชวัง และวันหนึ่ง ทุรโยธน์ได้เดินตกลงไปในสระน้ำ ด้วยการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพื้นทางเดิน นั่นก็เปรียบเทียบกับมฤคตัณหา โดยนางเทราปทีได้เห็นเหตุการณ์และหัวเราะขบขัน พร้อมกับกล่าวว่า พ่อตาบอด ลูกก็ตาบอดด้วย เพราะว่าทุรโยธน์เป็นลูกของท้าวธฤตราษฏร์ ผู้ตาบอด นั่นหมายถึง ผู้ที่พุทธิไม่มีความรู้ ความเข้าใจที่สามารถแยกแยะธรรมกับอธรรม ความจริงกับความหลอกลวงได้ จึงเป็นต้นเหตุของความโกรธแค้นทำให้ทุรโยธน์สั่งทุหศาสันเปลื้องผ้านางเทราปที เมื่อครั้งที่ปาณฑพได้แพ้การพนันต่อและต้องยกนางเทราปทีให้เการพ มฤค แปลว่า กวาง และ ตฤษณา คำไทยคือ ตัณหา ในความหมายนี้แปลว่า ความอยาก ความกระหายต่อน้ำ ในภาษาไทยใช้คำว่า พยับแดด หมายถึง เงาแดดที่ทำให้เกิดภาพลวงตา |
315 | เมหันตะ | เมหนต | मेहनत ![]() | mehanat | เมหันตะ หมายถึง ความเพียรพยายาม ความลำบากตรากตรำ และ มุหพัพตะ หมายถึง ความรัก พาพาใช้คำ เมหันตะ พ้องกับคำ มุหพัพตะ นั่นหมายถึง เมื่อลูกมีความรักต่อพาพา แล้วลูกจะไม่มีความลำบากตรากตรำใดๆ |
316 | เมหมานะ | เมหมาน | मेहमान ![]() | mehamān | เมหมานะ หมายถึง แขก ผู้มาเยือน พาพาให้ลูกเข้าใจและอยู่ในการจดจำเสมอว่า ลูก เป็นแขกของโลกนี้ นั่นคือ ลูกมาเล่นบทบาทที่โลกนี้เพียงชั่วคราว และต้องกลับไปยังบรมธามะ บ้านของอาตมา |
323 | ยุกติยุกต์ | ยุกฺติยุกฺต | युक्तियुक्त ![]() | yuktiyukt | การนำวิธีการ อุปกรณ์ เครื่องมือ มาใช้อย่างถูกต้องตามเวลา สถานที่ บุคคล สถานการณ์ เป็นต้น ยุกติยุกต์ มาจากคำว่า ยุกติ แปลว่า วิธีการ อุปกรณ์ เครื่องมือ การผสมรวม และ ยุกต์ แปลว่า รวม ผสมผสาน ถูกต้อง เหมาะสม |
325 | โยคยุกต์ | โยคยุกฺต | योगयुक्त ![]() | Yogayukt | ผู้ที่มีโยคะเชื่อมต่อกับบรมบิดา บรมาตมาอย่างถูกต้องในทุกขณะ โยคยุกต์ มาจากคำว่า โยคะ หมายถึง การรวมกัน การเชื่อมต่อ และ ยุกต์ แปลว่า รวม ผสมผสาน ถูกต้อง เหมาะสม |
329 | รโช | รโช | रजो ![]() | ![]() rajo | รโช หมายถึง สภาพกึ่งบริสุทธิ์ของอาตมา ที่เริ่มมี เทหอภิมานะ ความอยาก ปรารถนาจากพื้นฐานของกิเลส รโช แปลว่า ความอยาก ปรารถนา เทหอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนจากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย โดยมาจากคำว่า เทห์ หมายถึง ร่างกาย และ อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน |
330 | รโชคุณี | รโชคุณี | रजोगुणी ![]() | rajoguṇī | ผู้ที่มีคุณสมบัติรโช รโชคุณี มาจากคำว่า รโช หมายถึง สภาพกึ่งบริสุทธิ์ของอาตมา ที่เริ่มมี เทหอภิมานะ ความอยาก ปรารถนาจากพื้นฐานของกิเลส รโช แปลว่า ความอยาก ปรารถนา กับคำว่า คุณี หมายถึง ผู้ที่มีคุณสมบัติ เทหอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนจากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย โดยมาจากคำว่า เทห์ หมายถึง ร่างกาย และ อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน |
331 | รโชประธาน | รโชปฺรธาน | रजोप्रधान ![]() | rajopradhān | สภาพกึ่งบริสุทธิ์ของอาตมา ที่เริ่มมี เทหอภิมานะ ความอยาก ปรารถนาจากพื้นฐานของกิเลส ที่เป็นหลักเหนือสภาพสโตและตโม รโช แปลว่า ความอยาก ปรารถนา ประธาน แปลว่า เป็นหลักหรือใหญ่ในหมู่หรือกลุ่ม เทหอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนจากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย โดยมาจากคำว่า เทห์ หมายถึง ร่างกาย และ อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน |
354 | รูอี | รูอี | रूई ![]() | rūī | ปุยฝ้าย สำลี พาพากล่าวว่า ชีวิตของลูก ผู้เป็นพราหมณ์ที่มีความเบาสบาย เช่น ปุยฝ้าย สำลี |
355 | รูป วสันต์ | รูป พสนฺต | रूप बसन्त ![]() | Rūp Basant | พาพา คือ รูป วสันต์ และทำให้ลูกเป็นรูป วสันต์ ด้วยเช่นกัน รูป หมายถึง สภาพที่อาตมาเต็มไปด้วยศักดิ์ ในสวรูปของโยคะ และ วสันต์ หมายถึงญาณในรูปของฝนที่ตกลงมาให้กับผู้อื่น นอกจากนี้ วสันต์หมายถึง ฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือ ญาณในรูปของฝนทำให้เกิดความสดชื่นและเขียวชอุ่มดังเช่นฤดูใบไม้ผลิ สวรูป หมายถึง อาตมาได้มีคุณสมบัติและเกิดเป็นประสบการณ์ในทางปฏิบัติของรูปนั้น |
356 | รูหะ รูหานะ/รูหะ ริหานะ | รูห รูหาน/รูห ริหาน | रूह रूहान/रूह रिहान ![]() | rūha rūhān/rūha rihān | รูหะ หมายถึง อาตมา ดังนั้น รูหะ รูหานะ หรือ รูหะ ริหานะ หมายถึง การสนทนาขณะอยู่ในอาตม อภิมานะ |
357 | รูหานิยตะ (อ่านว่า รู-หา-นิ-ยะ-ตะ) | รูหานิยต | रूहानियत ![]() | rūhāniyat | รูหะ หมายถึง อาตมา ดังนั้น รูหานิยตะ หมายถึง การอยู่ในสภาพอาตมอภิมานะ ที่ก่อให้เกิดการส่งกระแสของความบริสุทธิ์และคุณสมบัติดั้งเดิมของอาตมาออกไป |
363 | เลากิก | เลากิก | लौकिक ![]() | laukik | เกี่ยวกับโลกวัตถุ ร่างกายภายนอก สิ่งชั่วคราว |
366 | วานปรัสถ์ | วานปรสฺถ | वानप्रस्थ ![]() | vānaprasth | ในราชโยคะ พาพากล่าวว่า วานปรัสถ์ หมายถึง สภาพของการอยู่เหนือเสียง ซึ่งขณะนี้เป็นเวลาสิ้นสุดของวงจร (กัลป์) ทุกอาตมาอยู่ในสภาพวานปรัสถ์ที่ต้องกลับไปยังนฤพานธามะ หรือ นิพพานธามะ นั่นคือ บ้านของอาตมา ในฮินดูธรรม เป็นประเพณีสืบต่อกันมาว่า วานปรัสถ์ เป็นช่วงเวลาหลักของชีวิต (หลังจากอายุ 60 ปี) เมื่อผู้ที่ครองเรือน ได้ผ่านช่วงเวลาคฤหัสถ์ หมายถึง การสร้างครอบครัวเป็นหลักฐานแล้ว ก็หันไปสู่การแสวงบุญกุศล เข้าป่าจำศีลถือพรตบำเพ็ญตบะ และอุทิศชีวิตให้กับภควาน วาณี แปลว่า เสียง |
369 | วิการ/พิการ | วิการ | विकार ![]() | ![]() vikār | ในราชโยคะ วิการ/พิการ หมายถึง กิเลส ที่ทำให้ผิดแปลกไปจากธรรมชาติ ความผิดปกติ ความไม่สมประกอบในอาตมา ความหมายทางโลกทั่วไปใช้กับร่างกาย ที่ผิดแปลกไปจากธรรมชาติ ความผิดปกติ ความไม่สมประกอบ |
371 | วิจาร สาครมันถนะ | วิจาร สาคร มนฺถน | विचार सागर मंथन ![]() | ![]() vicār sāgar manthan | วิจาร สาครมันถนะ หมายถึง กวนเกษียรสมุทรด้วยการคิดไตร่ตรองญาณ ในหนทางภักดีได้มีตำนานการกวนเกษียรสมุทรในภควัตปุราณะ ที่กล่าวว่าพระนารายณ์แนะนำให้ทำพิธีกวนเกษียรสมุทร เพื่อให้ได้น้ำอมฤตมาดื่ม ทำให้ชีวิตมีศักดิ์และไม่มีวันตาย แต่การจะกวนเกษียรสมุทรได้ จะใช้แค่ฝ่ายเทพก็ไม่พอเพราะต้องใช้กำลังพลเยอะมาก พระอินทร์เลยออกอุบายทำสัญญาสงบศึกกับพวกอสูรและชักชวนกันมาทำการกวนเกษียรสมุทร ได้น้ำอมฤตมาแบ่งกัน โดยนาควาสุกรีมาช่วยใช้ลำตัวเป็นเชือกเพื่อใช้ในการชัก ใช้ภูเขามันทรคีรีมาตั้งบนเกษียรสมุทร ที่อยู่ในไวกูณฐ์ แท้จริงแล้ว พาพาให้ลูกวิจาร สาครมันถนะ เพื่อให้เข้าถึงตนเองและญาณที่ลึกล้ำ เปรียบกับ น้ำอมฤต น้ำทิพย์ ที่ทำให้ชีวิตเป็นอมตะ และเปรียบกับ การกวนน้ำนมเพื่อให้ได้เนย นั่นคือ แก่นสารของญาณ เกษียรสมุทร หมายถึง ญาณ ภูเขามันทรคีรี หมายถึง จิตใจ นาควาสุกรี คือ เชือกที่ขับเคลื่อนจิตใจ หมายถึง พุทธิ ดังนั้น ผู้ที่วิจาร สาครมันถนะ ต้องมีจิตใจที่มั่นคงไม่ไหวหวั่นเช่นภูเขา โดยพุทธิต้องมีความบริสุทธิ์และศักดิ์ของการแยกแยะ ทั้งนี้ จิตใจและพุทธิต้องทำงานด้วยกันในหลายด้านของญาณ และต้องธารณาญาณได้ อสูร หมายถึง กิเลสทั้งห้า เทพ หมายถึง ความบริสุทธิ์ ความสงบ ความพอใจ การละวาง ความรัก และ สัตย์ นั่นคือ พุทธิจะถูกดึงดูดไปทั้งด้านเทพและด้านอสูร วิจาร หมายถึง การคิดไตร่ตรอง มันถนะ หมายถึง กวน ปั่น และกษีระ/เกษียร หมายถึง น้ำนม สาคร หมายถึง เกษียรสมุทร มหาสมุทรของน้ำนม |
372 | วิจิตร | วิจิตฺร | विचित्र ![]() | ![]() vicitra | มหัศจรรย์ พิเศษสุด ไม่เหมือนใคร ในราชโยคะ ยังหมายถึง ไม่มีร่างกาย หรือ ปราศจากร่างด้วย ทั้งนี้ พาพา คือ ผู้ที่วิจิตร |
374 | วิคญาน (ฮินดี)/วิชญาน (สันสกฤต)/วิญาณ (บาลี) | วิคฺญาน (ฮินดี)/วิชฺญาน (สันสฤต)/วิญาณ (บาลี) | विज्ञान ![]() | vigñān (Hindi)/vijñān (Sanskrit)/viñāṇ (Pali) | ในราชโยคะ วิญาณ หมายถึง เหนือญาณ นั่นคือ โยคะ หรือ ความสงบ ในทางทั่วไป วิญาณ หมายถึง วิทยาศาสตร์ |
375 | วิเทฮี | วิเทฮี | विदेही ![]() | ![]() videhī | อาตมาขณะที่อยู่ในร่างกายอย่างเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ ไม่ได้ผูกพันยึดติดกับร่างกาย ดังนั้นพ่อศิวะจีงกล่าวว่าท่านเป็นวิเทฮีขณะที่อยู่ในร่างของพรหมา และในภักดีมรรคก็กล่าวถึงราชาชนกว่าได้รับประสบการณ์ของวิเทฮี เทห์ หมายถึง ร่างกาย |
377 | วิเวก | วิเวก | विवेक ![]() | ![]() vivek | ปัญญาที่หยั่งรู้ หรือ รู้แจ้ง ทำให้สามารถเข้าใจถึงเหตุและผลบนพื้นฐานของญาณ ที่นำไปใช้ในการดำเนินชีวิต และจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ในทางปฏิบัติ |
380 | พฤติ (อ่านว่า พฺรึด/พฺรึด-ติ) | วฺฤตฺติ | वृत्ति ![]() | ![]() vṛtti | พฤติหมายถึงความคิดต่อเนื่องที่ส่งคลื่นกระแสหมุนเวียนโดยรอบออกมา และเมื่อส่งผ่านออกมาทางทฤษฎี ทางคำพูด หรือทางการกระทำก็จะกลายเป็นพฤติกรรมของผู้นั้น ดังนั้นพาพามาเปลี่ยนพฤติของลูกด้วยคำสอนผ่านมุรลีทุกวัน พฤติ มาจากรากศัพท์ของคำว่า พฤต หมายถึง วนเวียน และ ทฤษฎี หมายถึง การเห็น การมองเห็น นั้นคือ การแลกเปลี่ยนคลื่นกระแสผ่านดวงตา |
384 | ไวราคยะ (อ่านว่า ไว-รา-คฺยะ) | ไวราคฺย | वैराग्य ![]() | vairāgya | ไวราคยะ คือ สภาพของอาตมาที่เป็นอิสระจากความผูกพันยึดมั่นและความปรารถนาบนฐานของเทหอภิมานะ ไวราคยะ มาจากรากศัพท์คำว่า ราคะ ที่แปลว่า ความยึดมั่นผูกพัน รู้สึกชอบใจ พอใจ ดังนั้น ไวราคยะ คือ การไม่มีราคะ ไม่มีความยึดมั่นผูกพัน เทหอภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตนจากการเข้าใจและรู้สึกนึกคิดว่าตนเองเป็นร่างกาย โดยมาจากคำว่า เทห์ หมายถึง ร่างกาย และ อภิมานะ หมายถึง ความหลงทะนงตน |
386 | วยักตะ (อ่านว่า วะ-ยัก-ตะ) | วฺยกฺต | व्यक्त ![]() | vyakt | วยักตะ หมายถึง สาการ (ร่างกายที่เป็นวัตถุธาตุ) วัตถุ ซึ่งตรงข้ามกับอวยักตะ หมายถึง อาการ (ร่างแสงที่ละเอียดอ่อน) หรือ ผริศตา สาการพรหมา คือ วยักตพรหมา และ อาการพรหมา คือ อวยักตพรหมา ผริศตาหรือปรี หมายถึงสภาพแสงและเบาสบายที่อยู่เหนือความรู้สึกนึกคิดทางร่างกาย ไม่มีพันธนะของร่างกายและความสัมพันธ์ทางร่างกาย |
387 | วยภิจารี (อ่านว่า วฺยะ-พิ-จา-รี) | วฺยภิจารี | व्यभिचारी ![]() | ![]() vyabhicārī | วยภิจารี หมายถึง การนอกใจ เป็นชู้ การมีหลายสิ่ง หลายอย่าง และ อวยภิจารี หมายถึง มีเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นใด ซึ่งตรงข้ามกับวยภิจารี ศิวพาพากล่าวว่า เมื่อลูกเริ่มทำอวยภิจารี ภักดี ในทวาปรยุค (ยุคทองแดง) ลูกทำให้กับศิวะเพียงผู้เดียว ด้วยความรักและศรัทธาและใช้ทรัพย์สมบัติที่ พาพาทำให้ลูกมั่งคั่ง จากสังคมยุค เพราะว่าลูกมีญาณ การจดจำระลึกถึง เสวา ธารณา และทุกสิ่งเป็นอวยภิจารีกับพาพาเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมา ลูกก็ทำภักดีให้กับสิ่งอื่นนอกเหนือจากศิวะ เช่น ลักษมี นารายณ์ เหล่าเทพ จนกระทั่ง ทำให้กับมนุษย์และวัตถุธาตุ นั่นเรียกว่า วยภิจารี ภักดี ลูกจึงกลับมามีธรรมและกรรมที่ภรัษฏะ หมายถึง ไม่บริสุทธิ์ คดโกง ทุจริต และยากจนข้นแค้น ทั้งนี้ เมื่อทวาปรยุคได้ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง พรหมาได้เป็นราชา ซึ่งมีนามว่า วิกรมาทิตย์ ผู้เริ่มทำภักดีสร้างวัดโสมนาถ ด้วยการใช้เพชรโคอินัวร์ (โคอินูร์) เจียระไนเป็นศิวลึงค์ไว้ในวัด เป็นอนุสรณ์ให้กับศิวพาพา |
389 | พรต (อ่านว่า พฺรด) | วฺรต | व्रत ![]() | ![]() vrat | พรต หมายถึง การละเว้น งด สาบาน คำมั่นสัญญา กิจวัตร การจำศีล เช่น การเว้นบริโภค และข้อกำหนดการปฏิบัติ แท้จริงแล้ว พาพาให้ลูกถือพรต (คำมั่นสัญญา หรือ การยึดมั่นในศรีมัตหรือข้อปฏิบัติ) ว่าจะอยู่อย่างบริสุทธิ์ โดยละเว้นกิเลส และสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลาย ไม่ใช่การอดอาหาร หรือ นัำ เช่นที่ทำกันในหนทางภักดี |
390 | ศังกร | ศงฺกร | शंकर ![]() | ![]() Śaṅkar | ศังกร เป็นหนึ่งในสามของเทวดาที่ละเอียดอ่อนที่แสดงไว้ในตรีมูรติ ศังกร เป็นสัญลักษณ์แสดงสภาพที่สมบูรณ์ของพรหมาในการสละละทิ้ง (ตยาค) และตปัสยา (ตบะ) ด้วยเหตุนี้เองในหนทางภักดีได้แสดงว่าศังกรอยู่ในท่านั่งของการทำสมาธิที่มีโยคะอย่างมั่นคงกับศิวะ ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้กิเลสทั้งห้า เกิดวินาศไป ดังนั้น จึงได้มีการแสดงว่า ศิวะ ตรีมูรติ ทำให้โลกที่มีกิเลสเกิดวินาศด้วยศังกร |
394 | ศักดิ์สวรูป | ศกฺติ สฺวรูป | शक्ति स्वरूप ![]() | ![]() Śakti svarūp | อาตมาได้มีคุณสมบัติและเกิดเป็นประสบการณ์ในทางปฏิบัติของศักดิ์นั้น ศักดิ์ แปลว่า กำลัง พลัง อำนาจ ความสามารถ สวรูป หมายถึง อาตมาได้มีคุณสมบัติและเกิดเป็นประสบการณ์ในทางปฏิบัติของรูปนั้น |
395 | ศรณาคติ/สรณาคติ | ศรณาคติ | शरणागति ![]() | Śaraṇāgati | ศรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ที่อาศัย ที่ปกป้อง ในภาษาไทยใช้คำว่า สรณะ ศรณาคติ/สรณาคติ หมายถึง การเข้าไปอาศัยหลบภัยจากอันตราย หรือ ปัญหา เพื่ออยู่ภายใต้การปกป้องจากพาพา |
398 | ศานติ (สันสกฤต)/สันติ (บาลี) | ศานฺติ | शान्ति ![]() | ![]() śānti | ความสงบ ความนิ่ง เงียบ |
417 | ศรีมตะ/ศรีมัต | ศฺรีมต | श्रीमत ![]() | śrīmat | หนทาง การกำหนด ที่เป็นสิริมงคล ดีงาม ของบรมบิดา บรมาตมา ที่ให้ลูกทำตามทุกย่างก้าว ตั้งแต่อมฤตเวลา จนเข้านอน และทุกขณะ สำหรับ ความคิด คำพูด การกระทำ และ สายใย ความสัมพันธ์ ศรีมัต มาจากคำว่า ศรี หมายถึง สิริมงคล ดีงาม กับ มัต หมายถึง หนทาง การกำหนด พาพากล่าวว่า ศรีมัต หมายถึง เศรษฐมัต โดย เศรษฐ์ แปลว่า ดีเลิศ ดีที่สุด ยอดเยี่ยม ประเสริฐ |
419 | เศรษฐาจารี | เศฺรษฺฐาจารี | श्रेष्ठाचारी ![]() | śreṣṭhācārī | เศรษฐาจารี หมายถึง ผู้ที่ดีเลิศ ดีที่สุด ที่มีพฤติกรรม การกระทำที่บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสใด และไม่ได้เกิดผ่านครรภ์จากกิเลส ในสังคมยุค พาพามาเปลี่ยนลูกจากภรัษฏาจารี ชาวนรก ให้เป็น เศรษฐาจารี ชาวสวรรค์ เศรษฐ์ แปลว่า ดีเลิศ ดีที่สุด ยอดเยี่ยม ประเสริฐ ภรัษฏะ แปลว่า ไม่บริสุทธิ์ คดโกง ทุจริต และ จารี แปลว่า ผู้ประพฤติ |
421 | สันนยาสี | สนฺนฺยาสี | संन्यासी ![]() | ![]() sannyāsī | สันนยาสี หมายถึง ฤษี นักบวช นักบุญ ผู้อยู่ในหนทางการใช้ชีวิตสันโดษ ที่แยกตนเองออกไปอยู่โดยลำพังและสละละทิ้งทางโลก พาพากล่าวว่า ลูก คือ สันนยาสี ที่แท้จริงและไม่มีขีดจำกัด ขณะที่อยู่ท่ามกลางโลกนี้ แต่อยู่อย่างบริสุทธิ์และละวางเช่นดอกบัว สันนยาส แปลว่า การสละละทิ้ง และ สันนยาสี คือ ผู้สละละทิ้ง ได้แก่ ฤษี นักบวช นักบุญ คนมักนิยมเขียนว่า สันยาสี |
423 | สกาศ | สกาศ | सकाश ![]() | ![]() sakāś | สกาศ มาจากคำว่า สศตฺก และ ประกาศ สกาศ คือ พลัง กำลัง อำนาจ และแสง ที่ลูกได้รับเป็นวรทานจากพ่อศิวะ และสามารถส่งผ่านสกาศไปยังผู้อื่นได้ สศตฺก หมายถึง พลัง กำลัง อำนาจ และ ประกาศ หมายถึง แสง |
425 | สัตคุรุประสาท | สตคุรุ ปฺรสาท | सतगुरु प्रसाद ![]() | ![]() Sataguru prasād | สัตคุรุประสาท เป็นคำที่บันทึกไว้ในคุรุครันถ์ สาหิพของสิกข์ธรรม สัตคุรุประสาท หมายถึง การได้รับประสาทจากสัตคุรุ ทั้งนี้ ศิวพาพา คือ คุรุ ผู้เป็นสัตย์ มาบอกสัตย์ที่ทำให้ลูกได้รับอานนท์ (อานันท์) มุกติ ชีวันมุกติ ประสาท หมายถึง โปรดให้ ยินดีให้ อานนท์ (อานันท์) หมายถึง อตีนทริยสุข เป็นความสุขเหนืออวัยวะและประสาทสัมผัสของร่างกาย |
427 | สโตคุณี | สโตคุณี | सतोगुणी ![]() | satoguṇī | ผู้ที่มีคุณสมบัติสโต หมายถึง สภาพของอาตมาที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติดั้งเดิมเจ็ดอย่าง ได้แก่ ความรู้ ความบริสุทธิ์ ความสงบ ความรัก ความสุข อานนท์ (อานันท์) และ ศักดิ์ สโตคุณี มาจากคำว่า สัต แปลว่า เจ็ด กับคำว่า คุณี หมายถึง ผู้ที่มีคุณสมบัติ อานนท์ (อานันท์) หมายถึง อตีนทริยสุข เป็นความสุขเหนืออวัยวะและประสาทสัมผัสของร่างกาย |
428 | สโตประธาน | สโตปฺรธาน | सतोप्रधान ![]() | satopradhān | สโตประธาน หมายถึง สภาพของอาตมาที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติดั้งเดิมเจ็ดอย่าง ได้แก่ ความรู้ ความบริสุทธิ์ ความสงบ ความรัก ความสุข อานนท์ (อานันท์) และ ศักดิ์ เป็นหลักเหนือสภาพ รโช และ ตโม สโตประธาน มาจากคำว่า สัต แปลว่า เจ็ด และ ประธาน แปลว่า เป็นหลักหรือใหญ่ในหมู่หรือกลุ่ม อานนท์ (อานันท์) หมายถึง อตีนทริยสุข เป็นความสุขเหนืออวัยวะและประสาทสัมผัสของร่างกาย |
438 | สากษาตการะ/สากษาตการ (อ่านว่า สาก-สาต-กาน) | สากฺษาตฺการ | साक्षात्कार ![]() | ![]() sākṣātkār | สากษาตการ หมายถึง สิ่งที่ปรากฏเห็นเป็นอาการหรือสภาพอวยักตะที่ละเอียดอ่อนอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่วัตถุที่จับต้องได้ ศิวพาพามีกุญแจที่ให้ทิพยทฤษฎีแก่ลูกและภักตะ เพื่อได้รับสากษาตการ ทั้งนี้ ลูกก็สามารถเห็นได้ด้วยดวงตาที่สาม นั่นคือ ทิพยจักษุจากพุทธิที่มีญาณเป็นพื้นฐาน สากษาตการ มาจากคำว่า สากษาต หมายถึง ปรากฏอยู่ข้างหน้า กับ อาการ หมายถึง สภาพอวยักตะที่ละเอียดอ่อน |
439 | สาธนะ | สาธน | साधन ![]() | sādhan | พาพากล่าวคำว่า สาธนะ คู่กับ สาธนา โดยลูกสามารถใช้สาธนะเพื่อทำสาธนาได้ แต่ต้องอยู่เหนือการถูกดึงรั้งและไม่ยึดติดกับสาธนะ สาธนะ หมายถึง วิธีการ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ สาธนา หมายถึง อาตมาเพ่งเพียรปฏิบัติขณะที่อยู่ในร่าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย |
440 | สาธนา | สาธนา | साधना ![]() | sādhanā | พาพากล่าวคำว่า สาธนะ คู่กับ สาธนา โดยลูกสามารถใช้สาธนะเพื่อทำสาธนาได้ แต่ต้องอยู่เหนือการถูกดึงรั้งและไม่ยึดติดกับสาธนะ สาธนา หมายถึง อาตมาเพ่งเพียรปฏิบัติขณะที่อยู่ในร่าง เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สาธนะ หมายถึง วิธีการ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ |
446 | สุหาคะ | สุหาค | सुहाग ![]() | suhāg | สุหาคะ หมายถึง สามี สิ่งชี้บอกถึงภรรยาว่าเป็นผู้โชคดี คือ สามียังมีชีวิตอยู่และได้รับการดูแลจากสามี พาพา คือ สุหาคะที่แท้จริง ดังนั้นลูกจึงเป็นผู้ที่มีโชคที่แต่งงานกับพาพา สามีที่อมร ไม่ตาย อวินาศ คงอยู่ตลอดไป ผู้ให้การดูแลและทำให้ลูกได้รับทุกสิ่งที่ไม่มีขึดจำกัด ในทางโลก หนึ่งในสัญลักษณ์ของสุหาคะ คือ ดิลกหรือสินทูระที่หน้าผากของภรรยา |
452 | สวจินตนะ | สฺวจินฺตน | स्वचिंतन ![]() | ![]() svacintan | การคิดเกี่ยวกับตนเอง นั่นคือ อาตมา สวจินตนะ มาจากคำว่า สว หมายถึง ตนเอง คือ อาตมา กับ จินตนะ แปลว่า ความคิด เกี่ยวกับความคิด |
454 | สวมานะ/สวามาน | สฺวมาน | स्वमान ![]() | ![]() svamān | สวมานะ/สวามาน หมายถึง การเคารพตนเองในคุณสมบัติดั้งเดิมของอาตมา สวมานะ/สวามาน มาจากคำว่า สว หมายถึง ตนเอง คือ อาตมา และ มานะ แปลว่า เคารพ ชื่อเสียง เกียรติ |
457 | สวารถะ | สฺวารฺถ | स्वार्थ ![]() | svārth | สวารถะ หมายถึง การเห็นแก่ตนเอง ทั้งนี้ ลูกของพาพา ทำสิ่งใดควรมีความมุ่งหมาย ความประสงค์เพื่อตนเอง และให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย สวารถะ มาจากคำว่า สว คือ ตนเอง กับ อรรถ คือ ความมุ่งหมาย ความประสงค์ |
466 | หาง ชี | หาง ชี | हाँ जी ![]() | ![]() hāṁ jī | ใช่ ครับ/ค่ะ (เห็นด้วย) |